MONEY STYLE

กอบกู้เครดิตบอกลาหนี้เสียต้องทำยังไง ? | Money Buffalo

กอบกู้เครดิตบอกลาหนี้เสียต้องทำยังไง ? | Money Buffalo

พี่ทุยเชื่อว่า ติด “เครดิตบูโร” หรือ “ติดแบลคลิสต์” มักจะเป็นคำที่เราได้ยินบ่อย ๆ ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักในการถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ หรือการไม่อนุมัติบัตรเครดิต

สำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้วการได้รับสินเชื่อหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ เช่น “บัตรเครดิต” เป็นตัวช่วยที่ดีอย่างหนึ่งในการบริหารเงิน แต่ถ้าหากเรามีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี ใครที่ไหนจะกล้าให้เรายืมเงิน จริงมั้ย? ทำให้ความสามารถหรือโอกาสในการได้รับสิทธิประโยชน์ในส่วนนี้ก็จะลดน้อยลง แต่พี่ทุยก็คิดว่าอาจจะยังมีหลาย ๆ คนที่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า “ติดเครดิตบูโร” หรือ “ติดแบลคลิสต์” กันอยู่

#MoneyBuffalo
#การเงินเรื่องง่ายอ่านสบายใครก็เข้าใจ

เครดิตบูโร คืออะไร ?
เครดิตบูโร (Credit Bureau) คือ บริษัทที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเครดิตจากสถาบันการเงินหลาย ๆ แห่งที่เป็นสมาชิก พูดง่าย ๆ เหมือนเป็น “ตะกร้ารวบรวมข้อมูลเครดิตหรือประวัติการชำระหนี้ของบุคคลและนิติบุคคล” โดยเป็นการแสดงรายการประวัติการชำระหนี้ทั้งหมดซึ่งอาจจะมีทั้งดีและไม่ดี จริง ๆ แล้วระบบเครดิตบูโรจะไม่มีคำว่า “แบลคลิสต์” หรือ “Blacklist” นะ แต่เป็นการเปิดเผยเฉพาะประวัติการชำระเงิน และแม้ว่าจะทำการปิดบัญชีหนี้เรียบร้อยแล้ว แต่ข้อมูลการค้างชำระจะยังคงอยู่เป็นเวลาถึง 3 ปี หรือ 36 เดือนเชียวนะ

 
ติด Blacklist คืออะไร ?

จริง ๆ แล้วพี่ทุยอยากจะบอกว่าการติด “แบลคลิสต์” คือ การที่บุคคลมีประวัติการค้างชำระยาวนาน แล้วไม่สามารถชำระได้ตามกำหนดและปล่อยเป็นหนี้เสีย รวมถึงบุคคลที่ไม่ชำระหนี้และถูกยื่นฟ้องร้องโดยสถาบันการเงินนั้น ๆ เมื่อมีประวัติการติดค้างชำระต่อเนื่อง ย่อมแสดงให้เห็นถึงภาวะของการมีความเสี่ยงที่หนี้จะเป็นหนี้สูญ เพราะการค้างชำระติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไปแสดงถึงความไม่มีความรับผิดชอบและสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางการเงิน และแน่นอนว่าอำนาจในการตัดสินใจในการให้กู้ยืมโดยตรง คือ “สถาบันการเงิน” โดยขึ้นอยู่กับข้อกำหนดและเงื่อนไขของสถาบันการเงินนั้น ๆ ด้วย

สำหรับตัวพี่ทุยเอง และแน่นอนว่าคนทั่วไปก็ต้องอยากมีประวัติทางการเงินที่สวยหรู แต่วันนึงเราเกิดพลาด งั้นเราจะทำยังไงดีล่ะ ? เพื่อที่จะทางแก้ไขและสร้างประวัติการเงินของเราใหม่ และซึ่งวันนี้พี่ทุยมีวิธีมาบอก เพื่อกอบกู้เครดิตและสามารถทำธุรกรรมทางเงินกับสถาบันการเงินต่อได้นั่นเอง
 
 
วิธีที่ 1 คือ ชำระหนี้คงค้างที่มีให้หมดก่อน

อย่างแรกเลย พี่ทุยแนะนำว่าเราต้องทำการชำระหนี้คงค้างที่มีให้หมดก่อน ชำระทุกหนี้ทุกอย่างให้กลับมาเป็นปกติ (ไม่มียอดค้างชำระ) โดยอาจจะต้องใช้เงินก้อน เช่น เงินโบนัส เงินเก็บสะสม หรืออาจจำเป็นต้องขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินก้อนมาใช้ปิดบัญชีหนี้ให้เรียบร้อยซะก่อน แต่สิ่งที่พี่ทุยขอเตือนว่าไม่ควรทำที่สุดเลยก็คือ การกู้ยืมหนี้สินก้อนใหม่เพื่อมาชำระหรือโปะหนี้เก่า ซึ่งแบบนี้จะทำให้เราเป็นหนี้ไม่จบไม่สิ้นกันสักทีนะ

ถ้าหากสำหรับใครที่มีหนี้หลายก้อน หรือติดค้างชำระบัตรเครดิตไว้หลายใบ “การวางแผนชำระเงิน” พี่ทุยว่าก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำนะ เพราะต้องมีการประเมินหนี้เพื่อดูว่าหนี้แต่ละอันมีลักษณะเป็นยังไง อะไรควรจ่ายก่อนอะไรควรจ่ายทีหลัง หนี้ก้อนไหนที่มีดอกเบี้ยสูงหรือคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอก ก็ควรเพิ่มยอดชำระในแต่ละงวดเพื่อให้หนี้หมดไวขึ้น
 
วิธีที่ 2 คือ ปรับโครงสร้างการชำระหนี้ (การประนอมหนี้)

แต่ถ้ารู้สึกว่าชำระทั้งหมดไม่ไหวจริง ๆ วิธีถัดมาพี่ทุยแนะนำให้ปรับโครงสร้างการชำระหนี้หรือทำการประนอมหนี้ ซึ่งเป็นการเข้าไปพูดคุยเพื่อชี้แจงถึงเหตุผลและปัญหาต่อสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้โดยตรง วิธีนี้พี่ทุยคิดว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการแก้ปัญหาได้ดีเลย รูปแบบการเจรจาต่อรองเพื่อขอผ่อนผันก็มีอยู่หลายรูปแบบเหมือนกันนะ โดยอาจจะเป็นการขอลดยอดหนี้บางส่วนลง การขอให้คิดอัตราดอกเบี้ยปกติแบบตอนที่ไม่มีการผิดนัดชำระ การขอลดหย่อนค่าปรับการผิดนัดชำระหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ หรือจะเป็นการขอเพิ่มระยะเวลาในการชำระหนี้

ตัวอย่างเช่น เมื่อเราไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนดเดิมและภายหลังจากการเข้าไปต่อรองกับทางเจ้าหนี้แล้ว และได้มีทำข้อตกลงกันที่จะขยายเวลาในการผ่อนชำระออกไปอีก 5 ปี หรือ 10 ปี รวมถึงมีการวางแผนในการชำระเงินที่แน่นอน ซึ่งเวลาที่นานขึ้นยังทำให้จำนวนภาระเงินผ่อนต่องวดลดน้อยลงด้วยนะ ซึ่งการที่เราทำแบบนี้พี่ทุยว่าจะเป็นการช่วยลดแรงกดดันในการชำระเงิน นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการแสดงถึงเจตนาที่ดีในความตั้งใจและความพยายามในการชำระหนี้ของเราด้วยนะ

และเราจะต้องสร้างวินัยที่ดีทางการเงินใหม่เมื่อชำระหนี้คงค้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยชำระหนี้ตามกำหนดเวลาไม่ผิดชำระหนี้อีก เพื่อสร้างข้อมูลประวัติการชำระเงินใหม่ที่จะถูกรวบรวมและบันทึกในเครดิตบูโร เพราะการไม่ค้างชำระติดต่อกันนั้นสะท้อนถึงการมีความรับผิดชอบและแสดงให้เห็นว่าเราไม่มีปัญหาทางการเงิน ทำให้สถาบันการเงินว่าเรามีความสามารถในการผ่อนชำระที่ดี ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการขอสินเชื่อในครั้งต่อ ๆ ไปนั่นเอง
 
ข้อแนะนำเพิ่มเติม

พี่ทุยมีข้อแนะนำเพิ่มเติม เป็นข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเสี่ยงในการเกิดหนี้เสีย หรือเป็นต้นเหตุในการมีประวัติทางการเงินเสีย พี่ทุยว่าอย่างแรกเลยก็คือ ต้องระมัดระวังในการสร้างหนี้ อย่าก่อหนี้โดยไม่จำเป็นและเป็นการสร้างหนี้เพื่อใช้จ่ายฟุ่มเฟือยโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตที่รูดง่ายซะเหลือเกิน นอกจากนั้นแล้วต้องรู้จักประมาณตน ต้องคำนึงถึงรายได้และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในแต่ละเดือน เพื่อไม่ให้ภาระหนี้และดอกเบี้ยจ่ายต่อเดือนสูงที่จนเกินไป จนทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวันและภาระหนี้สินแล้วจะหาว่าพี่ทุยไม่เตือนไม่ได้น้า

นอกจากนั้นแล้วก็ควรที่จะมีเงินออม หรือจัดสรรเงินล่วงหน้าสำหรับใช้เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเพื่อลดโอกาสการสร้างหนี้และภาระดอกเบี้ยจ่าย และพี่ทุยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ การชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนดเวลา เพราะการที่เราชำระเงินล่าช้าในแต่ละงวดจะมาพร้อมดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ซึ่งเป็นตัวเร่งของการเกิดภาระหนี้เสียที่ดีทีเดียว

พี่ทุยอยากให้ทุกคนหมั่นที่จะดูแลสถานภาพทางเงินและรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้ดีนะ เพื่อการสุขภาพทางการเงินที่ดี อย่าติดกับดักสภาพคล่องทางการเงินจนเกินความสามารถในการผ่อนชำระ ก่อนที่สถานการณ์จะล่วงเลยไปจนประวัติทางการเงินเสีย จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวมาเสียทั้งเวลาในการแก้ไขและเสียโอกาสทางการเงินไปพร้อม ๆ กัน
 
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.facebook.com/moneybuffalo/
6 ความคิดอันตราย ทำลายเป้าหมายทางการเงิน

6 ความคิดอันตราย ทำลายเป้าหมายทางการเงิน 

หลายๆคนต้องการประสบความสำเร็จทางการเงิน มีชีวิตที่สุขสบาย มีเงินใช้อย่างไม่ขัดสน แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับพบว่าตัวเองยังไม่ได้ไปถึงครึ่งทางของเป้าหมายด้วยซ้ำ นี่เรากำลังทำอะไร ติดอยู่กับอะไรอยู่นะ

เรื่องการงานก็สำคัญ แต่เรื่องความคิดก็สำคัญนะ พี่ทุยว่าที่หลายๆคนยังไม่สามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้สักที อาจจะต้องลองเช็คตัวเอง ว่าติดกับดักทางความคิดพวกนี้อยู่หรือเปล่า ถ้ามีความคิดพวกนี้อยู่ ให้รีบเอาออกจากหัวไปอย่างด่วนเลย

1. หวังพึ่งโชคชะตามากเกินไป

คนที่รวยเพราะโชคนั้นมีจริง แต่ใน 100 คนก็คงมีสัก 0.1 คนเท่านั้น เพราะโชคชะตาไม่เคยให้ความเท่าเทียมกับใคร เราจึงต้องลุกขึ้นสร้างมันด้วยตัวเอง การทำงาน ทำธุรกิจ หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องอาศัยความพยายามและทุ่มเทเป็นหลัก โชคอาจจะมีส่วนทำให้เราได้เติบโตทางหน้าที่การงาน แต่การที่เราพยายามมากขึ้น ก็เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้รับโชคมากขึ้นเช่นกัน

เราอาจจะมีดวงในการทำธุรกิจ แต่เรายังไม่เคยเริ่มมันเลย แล้วอย่างงี้ธุรกิจมันจะไปเติบโตได้ยังไงล่ะ ร้านเสื้อผ้าแนววินเทจที่เปิดมานาน อยู่ดีๆกระแสนิยมก็มา คนฮิตมาใส่เสื้อผ้าแนวนี้กัน เจ้าของร้านอาจจะรวยไม่รู้เรื่องขึ้นมาทันตา แต่โชคเหล่านี้จะได้ขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้เริ่มก่อมันขึ้นมาด้วยตัวเองก่อน

แต่จริงๆแล้ว ทุกคนสามารถกำหนดโชคชะตาตัวเองได้ ด้วยการศึกษาตลาด รู้จักการจัดการสินค้า เลือกทำเลอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มยอดขายได้เช่นกัน ถึงแม้เส้นลายมือจะกำหนดชีวิตเรา แต่เมื่อเรากำมือ โชคชะตาก็อยู่แค่เพียงในมือเรา

2. เน้นความสุขในปัจจุบันมากกว่าอนาคต

ถ้าจะมองว่าการใช้เงินเป็นความสุขของชีวิต เงินก็คงเป็นสิ่งที่จะแบ่งความสุขให้เราได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต การที่เราอยากจะประสบความสำเร็จทางการเงิน ต้องรู้จักหักห้ามใจ อดทนลดความสุขในปัจจุบันเพื่อความสุขในอนาคตบ้าง

การหักห้ามใจไม่ซื้อเสื้อผ้าสักสองสามพัน ในปัจจุบัน อาจจะสามารถนำไปซื้อของจำเป็นในอนาคตได้สองสามหมื่นบาท เพราะเงินสามารถงอกเงยได้ ด้วยระยะเวลาและการลงทุน เมื่อได้รับเงินเดือนมา ใช้เงินเท่าที่จำเป็น ซื้อความสุขในปัจจุบันได้ แต่อย่าลืมนึกถึงความสุขในอนาคตกันด้วยล่ะ

3. เงินหาใหม่ได้เรื่อย ๆ

ยิ่งทำงานก็ยิ่งเก่ง ประสบการณ์เยอะขึ้นก็หาเงินได้มากขึ้น แต่ความเจ็บป่วย เหตุฉุกเฉินทางการเงิน หรือ วิกฤตเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้เงินเป็นสิ่งที่หายากขึ้น ตราบใดที่เรายังแข็งแรง แต่ใช่ว่าวันนึงเราจะไม่มีเหตุฉุกเฉิน หรือว่าวันนึงเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้นมา บริษัทที่เราทำงานอยู่ก็อาจจะเจ๊งขึ้นมาได้เสมอ

เพราะชีวิตนี้ไม่แน่นอน มีโอกาสต้องรู้จักเก็บออมเงินและหาช่องทางในการหาเงินมากกว่า 1 ช่องทางเสมอ เพราะเงินที่หามาได้ในปัจจุบัน ไม่ได้การันตีว่าอนาคตจะเข้ามาตลอดไป

4. อีกนานกว่าจะแก่ ค่อยออมก็ได้

อีกตั้งยี่สิบปี สามสิบปี กว่าจะเกษียณ ค่อยออมก็ยังทันจริงมั้ย ? พี่ทุยตอบได้เลยนะว่าจริง แต่เหนื่อยแน่นอน เพราะเราสามารถผ่อนแรงของการออมเงินได้ด้วยเวลา ผลของอัตราดอกเบี้ยทบต้น จะสามารถทำให้เราประหยัดเงินต้นที่จะใช้ในการออมเงินไปได้มากมาย ยิ่งถ้าเป็นเวลา 10 ถึง 20 ปี อาจจะประหยัดกันได้เป็นเท่าตัว

ถ้าจะบอกว่าปัจจุบันจะรายได้น้อย รอรายได้เยอะกว่านี้ค่อยออมเงิน แต่อย่าลืมไปว่า เมื่อเราอายุเยอะขึ้น ภาระความรับผิดชอบก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ถึงแม้รายรับจะเพิ่มขึ้น แต่รายจ่ายก็มักจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น การแต่งงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือส่งเงินให้ที่บ้าน และถ้าใครมีลูก ค่าใช้จ่ายก็คงมากขึ้นเพียบเลยแหละ

5. ออมเงินอย่างเดียวก็รวยได้

ถึงแม้ว่าการออมเงินคือเส้นทางสู่ความสำเร็จทางการเงิน แต่การออมเงินอย่างเดียวให้ประสบความสำเร็จทางการเงินได้นั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะสิ่งสำคัญอย่างเงินเฟ้อ ที่จะทำให้มูลค่าของเงินลดลงไปตามกาลเวลา

การลงทุนเท่านั้นที่จะต่อสู้กับเงินเฟ้อ ทำให้เงินเก็บของเราไม่ได้มีมูลค่าหล่นหายไปตามกาลเวลา โดยเฉลี่ยเงินเฟ้อต่อปีประมาณ 3-4% ดังนั้น การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นอยู่เสมอ

6. ลงทุนที่ไหนก็เหมือนกัน

ถึงพี่ทุยจะบอกว่าต้องเอาเงินออมไปลงทุน แต่ไม่ใช่ว่าลงทุนที่ไหนก็ได้นะ เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นเราจึงควรศึกษาให้ดีก่อนเอาเงินไปลงทุน

สิ่งที่ควรศึกษาก่อนการลงทุน ก็คือ ต้องดูว่าเงินเอาจะถูกเอาไปใช้ทำอะไร ผิดกฎหมายมั้ย ความเสี่ยงสูงหรือเปล่า ผลตอบแทนได้รับตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ เงื่อนไขการถอนเงินเป็นอย่างไร พร้อมทั้งเงื่อนไขต่างๆอีกมายมาย ที่ต้องตรวจสอบและทำความเข้าใจอย่างรอบคอบ เพราะเงินไม่ได้หามาง่าย จะเอาไปลงทุนก็ควรดูให้ดีก่อนนะ

เพราะความสำเร็จนั้นไม่ได้มาโดยง่าย กว่าจะไปถึงเป้าหมายต้องพบเจอกับอุปสรรค์ต่างๆ มากมาย เตรียมกายเตรียมใจให้พร้อม แล้วลบความคิดที่จะขัดขวางเส้นทางสู่ความมั่งคั่งของเราออกไปให้หมด แล้วเดินหน้าลุยกันให้เต็มที่ไปเลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :

#MoneyBuffalo
#การเงินเรื่องง่ายอ่านสบายใครก็เข้าใจ

เงินออมสำคัญไฉน ทำไมต้องมีเงินออม

การออมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตบรรลุเป้าหมายในสิ่งที่มุ่งหวัง เช่น ออมเงินเพื่อสมัครเรียนคอร์สพิเศษ ออมเงินเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ ออมเงินเพื่อจะซื้อบ้านในอนาคต เป็นต้น ซึ่งการออมเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งที่จะทำให้ผู้ออมบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้การออมเงินไว้เพื่อใช้ยามฉุกเฉิน ยังช่วยลดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินเมื่อได้ เช่น มีเงินสำรองตอนเจ็บป่วย มีเงินซ่อมบ้านซ่อมรถ ฯลฯ

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการออมเงินนั้นมีคววามสำคัญกับชีวิตของทุกคนมาก เพราะมันเป็นปัจจัยที่จะทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการโดยที่ไม่เดือดร้อน ขาดสภาพคล่อง หรืออย่างร้ายแรงคือต้องเป็นหนี้

ทำไมเราต้องมีเงินออม

เงินออมถือเป็นปัจจัยที่จะทำให้เป้าหมายที่กำหนดไว้ในอนาคตสำเร็จและเป็นจริงขึ้นมา เช่น กำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะต้องมีบ้านเป็นของตนเองในอนาคตให้ได้ นอกจากนี้เงินออมยังช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย ดังนั้นทุกคนจึงควรมีการออมอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อถามว่าทำไมต้องมีเงินออม สมัยนี้เงินหายากแถมค่าของเงินก็ไม่ได้เยอะ ใช้ไม่เท่าไหร่ก็หมดแล้ว จะเหลือที่ไหนไปออม และสารพัดข้อขัดข้องที่ขัดขวางการออม แต่รู้หรือไม่ว่าการเจียดเงินสักนิดหน่อยเพื่อเก็บไว้ เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนมันจะมากขึ้น สามารถเป็นเงินเก็บในการหาความสุขให้รางวัลกับตัวเองได้ด้วย ดังนั้นการออมจึงมีประโยชน์มาก ประโยชน์ของการมีเงินออมนั้น เช่น


  1. เพื่อเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายประจำที่เป็นเงินก้อน เช่น ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าเบี้ยประกันชีวิต ค่าประกันภัยรถยนต์ ค่าส่วนกลางคอนโดมีเนียม ค่าส่วนกลางหมู่บ้าน
  2. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำรองที่จำเป็นต้องใช้ตามโอกาส เช่น การซื้อเครื่องเรือน ซื้อรถใหม่ ภาษีสังคม เงินช่วยเหลือ เงินธรรมเนียมต่างๆ
  3. ออมเงินเพื่อใช้ในเทศกาลต่างๆ ใช้หาความบันเทิงและให้รางวัลแก่ชีวิต เช่น เงินใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว ชมภาพยนตร์ ชมคอนเสิร์ต
  4. เพื่อให้มีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินหรือเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ยามเจ็บป่วย ช่วงว่างงาน เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ซ่อมบ้าน ซ่อมรถ
  5. ออมเงินไว้ใช้ในระยะยาว เช่น การซื้อบ้าน

เราสามารถออมเงินได้อย่างไรบ้าง

ช่วงนี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี ทั้งยังหาเงินยากขึ้น ข้าวของเครื่องใช้แพงขึ้น มีรายจ่ายรอบด้านที่เป็นอุปสรรคต่อการออมเงิน หลายคนอาจจะมืดแปดด้านว่าแล้วจะออมเงินได้อย่างไร จะเอาเงินที่ไหนมาออม ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วการออมเงินมีวิธีการที่ไม่ยากเลยค่ะ

  • อย่างแรกเลยคือต้องเก็บก่อนใช้ กันเงินไว้สัก 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ เก็บเข้าธนาคารเลยค่ะ แบบนี้ได้ออมเงินแน่นอน
  • วิธีการต่อมาคือพกเงินให้น้อยลงเพื่อจำกัดการใช้เงินตัวเอง โดยลองตั้งกฎกับตัวเองว่าจะไม่ใช้เกินจากที่พกวันนี้ ก็เป็นตัวช่วยในการออมเงินได้
  • วิธีการต่อมาที่อยากนำเสนอคือลดการใช้บัตรเครดิต หรือทางที่ดีก็งดใช้ไปเลย เพื่อลดการใช้จ่ายเพื่อความฟุ่มเฟือย และตัดช่องทางการเป็นหนี้โดยที่ไม่จำเป็นได้
  • วิธีการอีกอย่างที่น่าสนใจคือ การเก็บแบงก์ 50 บาท มีเมื่อไหร่เก็บเท่านั้น ลองคิดว่ามันเป็นของหายาก น่าสะสม ด้วยมูลค่าของเงินที่ไม่มากไปไม่น้อยไปเหมาะสมที่จะออมเงิน เก็บ 2 ใบก็ร้อยบาทแล้วนะคะ
  • อีกวิธีที่ช่วยได้คือเปิดบัญชีฝากประจำระยะยาว โดยเอาเงินที่ออมๆ ไว้ไปฝากเข้าบัญชีนั้นเลย จะได้ไม่ต้องถอนมาใช้บ่อยๆ

วิธีการง่ายๆ แต่คลาสสิกอย่างการหยอดกระปุกออมสิน ก็ยังเป็นวิธีการออมเงินที่ได้ผลอยู่นะคะ หยอดเหรียญทุกวัน เมื่อสะสมมาถึงปีก็ได้หลายบาทแล้วค่ะ ใช้ของแบรนด์เนมให้น้อยลงและลองปรับไลฟ์สไตล์ให้อยู่ง่ายกินง่ายสักหน่อย ก็ช่วยประหยัดเงินได้ เงินออมก็มากขึ้นนะคะ

ความสุขที่ได้จากการมีเงินออม

เมื่อมีเงินออมเพิ่มมากขึ้น เราจะมีความสุขเมื่อเห็นจำนวนเงินที่มากขึ้นค่ะ นอกจากนี้เรายังมีปัจจัยไว้เปย์เพื่อซื้อความสุข ความบันเทิง ความพอใจโดยที่ไม่ต้องเดือดร้อนหรือเป็นหนี้เลย เราจะมีอิสรภาพทางการเงินโดยสมบูรณ์และไม่ลำบากยามที่เราทำงานไม่ได้แล้ว รู้อย่างนี้แล้วก็เริ่มออมเงินกันเลยดีกว่าค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.1213.or.th

 

คลินิกแก้หนี้ ทางออกของคนอยากปลดหนี้บัตรเครดิต

คลินิกแก้หนี้ ทางออกของคนอยากปลดหนี้บัตรเครดิต

หากจะพูดถึงข่าวคราวเรื่องการเงินที่หลายคนให้ความสนใจมากที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นนโยบาย คลินิกแก้หนี้ อย่างแน่นอน และสำหรับใครที่รู้รายละเอียดแล้ว และกำลังสนใจโครงการนี้อยู่นั้น วันนี้เรามีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายนี้มาฝากค่ะ

คลีนิกแก้หนี้ ทำงานแบบไหน

คลีนิกแก้หนี้จะทำงานด้วยระบบ One Stop Service คือ เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่มีหนี้สินค้างชำระกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ มากกว่า 2 แห่ง นำหนี้มารวมไว้ที่คลีนิกแก้หนี้ที่เดียว จากนั้น SAM จะเข้ามาเป็นตัวกลางในการช่วยปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างเจ้าหนี้(ธนาคารพาณิชย์) และ ลูกหนี้

สำหรับการทำงานของ SAM นั้น นอกจากจะเข้ามาช่วยปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับชำระหนี้ รวมถึงให้คำปรึกษา และให้ความรู้การวางแผนการเงิน ความรู้เรื่องการใช้เงิน และช่วยปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของลูกหนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ก่อหนี้สินเพิ่มอีกในอนาคต

ซึ่งคลีนิกแก้หนี้นั้น เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกหนี้ เนื่องจากลูกหนี้สมารถดำเนินการติดต่อเจรจาที่คลินิกแก้หนี้ที่เดียว แต่เหมือนได้ติดต่อกับเจ้าหนี้ทุกราย ตามสโลแกนของโครงการที่ว่า “หนี้บัตรทบ จบที่เดียว”

หนี้แบบไหนถึงจะเข้าคลินิกแก้หนี้ได้

สำหรับคนที่สงสัยว่า ต้องเป็นหนี้แบบไหนถึงจะเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้นั้น ทาง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) ได้กำหนดไว้ว่า

สินเชื่อส่วนบุคคล

หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้ค้ำประกัน

หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ลูกหนี้มีอยู่กับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ

หนี้บัตรเครดิต

สามารถนำยอดหนี้เสียจากบัตรเครดิตทุกใบเข้าร่วมโครงการได้

จะต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตกับธนาคารเจ้าของบัตรที่เข้าร่วมโครงการคลีนิกแก้หนี้เท่านั้น

ไม่รวมหนี้บัตรเครดิตที่ออกโดยบริษัทในเครือของธนาคาร

หนี้นอกระบบ ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้

คุณสมบัติของลูกหนี้ที่เข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ได้

หากคุณเป็นคนมีหนี้ และต้องการเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ จะต้องมีคุณสมบัติต่อไปนี้

  • เป็นบุคคลธรรมดา ที่มีรายได้ประจำ
  • อายุไม่เกิน 65 ปี (ต้องไม่เกินตลอดอายุที่อยู่ในโครงการ)
  • มีหนี้กับธนาคารมากกว่า 2  แห่งใน  17  ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ
  • มีหนี้ที่เกิดจากการค้างชำระเกิน 3 เดือน (90 วัน) ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2560
  • ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
  • มีหนี้รวมไม่เกิน 2 ล้านบาท

เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้เพิ่มเติม

  • ต้องไม่ก่อหนี้เพิ่มในระยะเวลา 5 ปี
  • ต้องพร้อมสำหรับการเรียนรู้วิธีการสร้างวินัยทางการเงินที่ดี
  • ต้องเสียดอกเบี้ยตามช่วงรายได้ (ดอกเบี้ย 4% – 7% ต่อปี)

อัตราดอกเบี้ยจะแบ่งออกเป็น

  • รายได้ต่อเดือน 100,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยที่ 7% ต่อปี
  • รายได้ต่อเดือน 50,000 – 100,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยที่ 6% ต่อปี
  • รายได้ต่อเดือน 30,000 – 50,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยที่ 5% ต่อปี
  • รายได้ต่อเดือน 30,000 บาทขึ้นไป เสียดอกเบี้ยที่ 4% ต่อปี
  • รายได้ต่อเดือน  ไม่เกิน 30,000 บาทขึ้นไปเสียดอกเบี้ยที่ 4% ต่อปี

อยากเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ ต้องสมัครที่ไหน

สำหรับใครที่กำลังรู้สึกสนใจคลินิกแก้หนี้ แต่ไม่รู้ว่าต้องสมัครที่ไหน สมัครอย่างไร ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างนั้น เราได้รวบรวมรายละเอียดทั้งหลายมาให้แล้วค่ะ

สมัครเข้าโครงการผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่

สมัครผ่าน www.คลีนิกแก้หนี้.com หรือ www.debtclinicbysam.com

ติดต่อที่สำนักงานโครงการ เลขที่ 333 อาคารเล้าเป้งง้วน 1 ชั้น 12 ซอยเฉยพ่วง ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900

ติดต่อที่ สาขาของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (SAM) 4 สาขา

  • สาขาสุราษฎร์ธานี 213/17 หมู่ 1 ถนนเพชรเกษม ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84000
  • สาขาขอนแก่น 381/46-47 หมู่ 17 ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
  • สาขาพิษณุโลก 5/16-17 หมู่ 5 ถนนสิงหวัฒน์ ตำบลบ้านคลอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000
  • สาขาเชียงใหม่ 109/4 ถ.เชียงใหม่-ลำปาง (ท.ล.11) กม.98.7 เทศบาลตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300

สมัครคลินิกแก้หนี้ ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง 

หากคุณกำลังสนใจอยากเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ และกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารที่ต้องใช้ในการกรอกใบสมัครเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้นั้น เอกสารที่คุณต้องเตรียมประกอบไปด้วย

  1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน
  3. ใบเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล (ถ้ามี)
  4. เอกสารการตรวจสอบข้อมูลภาระหนี้จากเครดิตบูโร
  5. สลิปเงินเดือน ย้อนหลัง 3 เดือน
  6. เอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) อย่างน้อย 6 เดือนย้อนหลัง
  7. บัตรเงินบำนาญ (กรณีเป็นข้าราชการ)
  8. ใบแนบหนังสือสั่งจ่าย (กรณีเป็นข้าราชการ)
  9. หลักฐานการแสดงรายได้อื่น เช่น สัญญาให้เช่า สัญญาว่าจ้าง ฯลฯ
  10. ใบแจ้งหนี้/ เอกสารแสดงความเป็นหนี้
  11. หนังสือยินยอมเปิดเผยข้อมูลเครดิตบูโร (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : www.ncb.co.th )

สมัครเข้าร่วมโครงการ คลินิกแก้หนี้ มีขั้นตอนอะไรบ้าง

ตรวจสอบคุณสมบัติได้ที่ web site :  www.debtclinicbysam.com หรือ www.คลินิกแก้หนี้.com  หรือ Call Center : 02-610-2266

กรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม และยืนยันข้อมูลผ่านเว็บไซต์ (เปิดรับสมัครวันที่ 1 มิถุนายน 2560)

เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับ เพื่อนัดหมายวัน-เวลา ให้เข้ามาที่สำนักงาน

เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการประกอบการพิจารณา

เข้าพบเจ้าหน้าที่โครงการ เพื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้

เจ้าหน้าที่โครงการจะนัดหมายให้เข้าเซ็นสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้ หลังจากที่ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ธนาคารเจ้าหนี้ให้เข้าร่วมโครงการ

ลูกหนี้จะได้อะไรจากโครงการคลินิกแก้หนี้

สำหรับลูกหนี้ที่สงสัยว่า ตัวเองจะได้อะไรจากการเข้าร่วมโครงการนี้นั้น เราอยากจะบอกค่ะว่า คุณในฐานะลูกหนี้ จะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็น

หมดปัญหาการถูกทวงถามหนี้จากเจ้าหนี้หลายราย

ช่วยลดภาระการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือน

ได้รับการรวมหนี้ และผ่อนชำระในที่เดียว

รู้จักการวางแผนทางการเงินที่ดี

คลินิกแก้หนี้ จะเปิดให้สมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน  2560 เป็นต้นไป

และหากใครที่สนใจอยากเข้าร่วมโครงการ ระหว่างนี้เราแนะนำให้เตรียมเอกสารที่ต้องใช้ให้ครบถ้วนไปก่อนค่ะ เมื่อถึงเวลาที่ต้องยื่นเอกสารจะได้รวดเร็วไม่ตกหล่นนะคะ

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก็คือ

แม้โครงการคลินิกแก้หนี้ จะเป็นโครงการที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คนที่มีหนี้สินมากมาย แต่การได้รับอนุมัติเพื่อเข้าร่วมในโครงการนั้น จะเป็นไปตาม ดุลพินิจของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (SAM) นั่นหมายความว่า คุณจะมีหนี้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องอยู่ในสถานะที่พร้อมใช้หนี้ด้วย

เพราะ คลินิกแก้หนี้ ไม่ใช่ โครงการหาเงินด่วนใช้หนี้ แต่เป็นเพียงโครงการที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ย และช่วยให้คุณปลดหนี้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น นั่นเองค่ะ 

หากใครที่สนใจอยากเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ แต่คุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนด หรือ อยากลองมองหาข้อเสนออื่นๆเพิ่มเติม สามารถขอข้อมูลสินเชื่ออื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ rabbit finance

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://rabbitfinance.com

ออมก่อนเกษียณ คุณเลือกได้!

การออมเงินไว้ก่อนจะเกษียณเป็นเรื่องที่สำคัญและควรทำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชาว 40 พลัสด้วยแล้ว ต้องรีบออมโดยด่วน!

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตระหนักถึงอนาคตที่ไร้กังวล อยู่สบาย และกำลังตั้งเป้าที่จะใช้ชีวิตสวนทางกับผู้สูงอายุอีกหลายล้านคนในประเทศที่ไม่มีเงินออม หรือถึงจะมีเงินออมก็มีน้อย ต้องลองอ่านเคล็ดลับดีๆ ในการออมเงินก่อนเกษียณที่เรานำมาฝาก

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีผู้สูงอายุกว่า 1 ล้านคนที่สุขภาพไม่ดี นอนติดเตียง ต้องพึ่งพาคนดูแล และมีแนวโน้มจะมีผู้สูงอายุอยู่ลำพัง ไร้ลูกหลานดูแลเพิ่มขึ้น ดังนั้นสภาวะคนวัยเกษียณไร้เงินออมจึงเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างมาก ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากกลายเป็นผู้สูงวัยที่รอความช่วยเหลือจากใครแล้วละก็ ต้องทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้เลย

1.ออมก่อนแก่ เริ่มได้ทันที

คุณไม่จำเป็นต้องรอให้กลายเป็นคนสูงวัยถึงค่อยเริ่มคิดวางแผนเกษียณ ยิ่งคุณวางแผนเร็วเท่าไร คุณอาจเกษียณตัวเองได้เร็วขึ้น แม้คนบางกลุ่มจะบอกว่า “แก่แล้วไม่ได้อยากร่ำรวยอะไร” “แก่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้เงิน” “แก่แล้วก็มีลูกหลานคอยดูแล” “แก่แล้วก็มีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้” หรือแม้กระทั่ง “ออมไปก็ไม่ได้ใช้ คงตายก่อน”…การคิดแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียว แต่หากในกรณีจำเป็นต้องใช้เงินขึ้นมา โดยฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่มักจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามการสึกหรอของร่างกาย ถ้าถึงเวลานั้น การเริ่มออมเงินก็อาจจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว

2.ต้องมีเงินเท่าไร ถึงจะพอใช้ในวัยเกษียณ

เป็นคำถามยอดฮิตที่ใช้ในการวางแผนการเงินหลังเกษียณ ถ้าคุณมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้น นั่นแปลว่าคุณเดินมาถูกทางแล้ว ซึ่งการออมเงินลักษณะนี้ ควรทำการประเมินใหม่อยู่เรื่อยๆ ปีละครั้ง หรือสองปีครั้ง เพื่อที่จะได้อัพเดทยอดการออมให้สัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายจริง และรวมค่าครองชีพที่ผันผวนไปตามสภาวะเศรษฐกิจ

3.สูตรคำนวณเงินออมหลังเกษียณเบื้องต้น

สูตรที่ใช้คือ

70% ของค่าใช้จ่ายปัจจุบันต่อเดือน x 12 เดือน (เท่ากับค่าใช้จ่าย 1 ปี) x ประมาณการจำนวนปีที่จะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ = จำนวนเงินออมที่คุณต้องมีในวันเกษียณ

ตัวเลขที่ออกมา คือจำนวนเงินที่ควรมี ณ วันที่คุณเกษียณ ยอดเงินอาจสูงจนไม่ใช่เรื่องสนุก แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า เงินก้อนนี้มีความจำเป็นอย่างมากที่จะมีใช้เพียงพอตลอดบั้นปลายชีวิต

(ข้อมูลอ้างอิง : การประเมินค่าใช้จ่าย 70% จากสูตรการคำนวณของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอายุค่าเฉลี่ยคนไทย จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2556 ระบุว่า ผู้หญิงมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 78 ปี และผู้ชายมีอายุขัยเฉลี่ยที่ 71 ปี)

ตัวอย่าง

ผู้หญิงอายุ 25 ปี ค่าใช้จ่ายปัจจุบันต่อเดือนอยู่ที่ 10,000 บาท ตั้งเป้าเกษียณอายุ 55 ปี (ผู้หญิงอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 78 ปี) ดังนั้นประมาณการจำนวนปีที่จะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณคือ 23 ปี

การคำนวณหาจำนวนเงิน ณ วันเกษียณ = 70% ของค่าใช้จ่ายปัจจุบันต่อเดือน x 12 เดือน x 23 ปี

= 7,000 x 12 x 23

= 1,932,000 บาท

เมื่อคำนวณยอดเงินที่คุณต้องออมในแต่ละเดือน จนได้จำนวนเงินที่ต้องมี ณ วันที่คุณเกษียณแล้ว ให้นำยอดนี้มาหารด้วยจำนวนเดือน คูณด้วยปีที่ตั้งใจเกษียณ หักลบด้วยอายุจริงในปัจจุบัน ก็จะได้จำนวนเงินในแต่ละเดือนที่คุณต้องเก็บออม

ตัวอย่าง

ผู้หญิง ประมาณการเงินออมหลังเกษียณ 1,932,000 บาท ตั้งเป้าเกษียณอายุ 55 ปี ปัจจุบันอายุ 25 ปี

คำนวณเงินที่ต้องออมต่อเดือน = 1,932,000 บาท ÷ (12 เดือน x 30 ปี)

= 1,932,000 ÷ 360

= 5,367 บาท/เดือน

4.เพิ่มมูลค่าเงินออม

จะดีกว่าแน่นอน หากคุณนำเงินที่ออมได้ในแต่ละเดือนไปเพิ่มมูลค่าให้งอกเงยได้มากกว่า คุณอาจเกษียณได้เร็วกว่ากำหนด และเงินที่เก็บได้ก็จะมีมูลค่าสูงกว่าที่คุณตั้งใจเก็บไว้

วิธีการเพิ่มมูลค่าเงินออมแบบความเสี่ยงน้อย ก็เช่น การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากจะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีแล้ว คุณยังได้เงินสมทบจากบริษัททุกเดือน ถือเป็นการลงทุนที่มีแต่ได้กับได้ หรือจะเลือกการรักษาเงินต้นด้วยการนำไปลงทุนในกองทุมรวมตราสารหนี้ก็น่าสนใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม อีกวิธีคือการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF เป็นการบังคับให้เราลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องลงทุนไปจนถึงอายุ 55 ปี มองเห็นเงินก้อนไว้ใช้ยามเกษียณแน่นอน

 

ขอขอบคุณ : https://40plus.posttoday.com/personalfinance/22842/