คำศัพท์การเงิน

วิธีการคำนวณดอกเบี้ย

วิธีการคำนวณดอกเบี้ย

มีอยู่ 2 วิธีใหญ่ๆ คือ วิธีการคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) กับแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)

  1. การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate)

มักใช้สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งจะคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งก้อนในตอนแรกสุดตลอดอายุของสัญญาแม้ว่าลูกค้าจะได้ทยอยผ่อนชำระเงินต้นบางส่วนแล้วก็ตาม

ดอกเบี้ยเงินกู้ แบบเงินต้นคงที่ จะไม่สามารถนำเงินก้อนมาปิดยอดเงินต้นได้ก่อนถึงกำหนดชำระ ถึงแม้จะจ่ายก่อนดอกเบี้ยก็เท่าเดิม ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรเลยกับการจ่ายตามกำหนดเวลานั่นเอง มีวิธีการคำนวณดังต่อไปนี้

ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x ระยะเวลา (ปี)

จำนวนเงินที่ต้องชำระในแต่ละงวด = เงินต้น + ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด / จำนวนงวดที่ต้องผ่อนชำระทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น วัลลภทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์กับธนาคารแห่งหนึ่ง มูลค่า 100,000 บาท ธนาคารคิดดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี กำหนดระยะเวลาในการเช่าซื้อ 2 ปี หรือ 24 เดือน สัญญากำหนดให้วัลลภต้องชำระเงินแก่ธนาคารทุกเดือน วัลลภจะต้องชำระเงินให้แก่ธนาคารเดือนละเท่าใด

  1. การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)

การคิดดอกเบี้ยแบบนี้ใช้ในการคำนวณดอกเบี้ยของสินเชื่อเกือบทุกประเภท เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด

ส่วนมากเงินกู้แบบนี้ เราสามารถนำเงินก้อนมาปิดยอดได้ก่อนถึงกำหนดชำระ แต่อาจจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการปิดบัญชีก่อนเวลาที่ตกลงแต่แรกเพราะทำให้ธนาคารเสียกำไรไป

โดยทั่วไปมีสูตรการคำนวณดังนี้

ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย = เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันในงวด / จำนวนวันใน 1 ปี*

เงินต้นที่ลดลง = จำนวนเงินที่ต้องจ่ายในงวดนั้น – ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น

เงินต้นคงเหลือ = เงินต้นคงเหลือจากงวดก่อน – เงินต้นลดลง

* จำนวนวันในหนึ่งปีอาจเป็น 360 วันหรือ 365 วันแล้วแต่ธนาคาร

กรณีกำหนดให้ชำระหนี้เดือนละเท่าๆ กัน 

สมมติว่า ต้องการกู้เงิน 12,000 บาท ระยะเวลาผ่อน 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 24% ต่อปี สถาบันการเงินจะคำนวณจำนวนเงินผ่อนต่องวดจากสูตรดังต่อไปนี้

ในกรณีนี้สถาบันการเงินปัดยอดเงินต่องวดขึ้นและให้ผ่อนชำระงวดละ 2,150 บาท ยกเว้นเดือนสุดท้ายที่จะให้ผ่อนชำระ 2,093 บาท ซึ่งสามารถจำแนกเป็นสัดส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละงวดตามสูตรที่ได้กล่าวถึงในกรณีทั่วไปได้ดังนี้

อยากรู้ว่าดอกเบี้ยที่ไหนถูกหรือแพง ลองแปลง Flat Rate เป็น Effective Rate ช่วยได้

ในการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่ต่างประเภทกัน เราไม่สามารถนำตัวเลขอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) มาเปรียบเทียบโดยตรงกับตัวเลขอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) ได้ เพราะวิธีการคิดดอกเบี้ยแตกต่างกันดังที่ได้อธิบายข้างต้น แต่หากจะแปลงอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่เป็นแบบลดต้นลดดอกแบบคร่าว ๆ  ก็สามารถทำได้โดยใช้ 1.8 คูณกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่

ตัวอย่าง

วัลลภต้องการเช่าซื้อรถยนต์ แต่เขากำลังคิดว่าจะเลือกใช้บริการจากที่ไหนดีระหว่างผู้ให้เช่าซื้อ A และ B

ถ้าดูกันแค่ตัวเลขก็เหมือนว่า A จะถูกกว่า แต่ที่จริงแล้ว เมื่อวัลลภลองแปลงอัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ของ A เป็นแบบลดต้นลดดอก ก็จะพบว่า อัตราดอกเบี้ยของ A แบบลดต้นลดดอกโดยประมาณ =  4% x 1.8  =  7.2%

เห็นอย่างนี้แล้ว วัลลภก็ได้รู้ว่าเมื่อคำนวณเป็นแบบลดต้นลดดอกเหมือนกันเพื่อให้เปรียบเทียบกันได้แล้ว ดอกเบี้ยของ A แพงกว่า B ประมาณ 1.2% ต่อปี  ดังนั้น B ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีของวัลลภ หากคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ นอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ย เช่น ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ความสะดวกในการชำระเงิน คุณภาพการให้บริการของ A และ B ประกอบด้วยแล้วไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก 

ดังนั้น ก่อนกู้เงินหรือขอสินเชื่อจึงต้องศึกษาข้อมูลให้แน่ใจว่าคิดดอกเบี้ยแบบไหน ใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอะไรและเท่าไหร่ โดยแปลงให้เป็นวิธีคิดแบบเดียวกันเพื่อให้เปรียบเทียบได้ว่าถูกแพงต่างกันอย่างไร​

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวของ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ที่หลายคนควรรู้ไว้ หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้มากขึ้นแล้ว ก่อนจะตัดสินใจกู้เงิน เราก็ควรศึกษาดอกเบี้ยของแต่ละสถาบันการเงินให้ดีๆ ก่อน และถ้าใครมีหนี้อยู่ ลองดูว่า หนี้ที่เรามีอยู่เสียดอกเบี้ยยังไง และมีหนี้ก้อนไหนที่เรารีบกลบได้บ้าง เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องเสียเงินกับดอกเบี้ยไปนานๆ จะได้ลดภาระทางการเงินลงบ้าง

ที่มา : ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย 

MLR MOR และ MRR คืออะไร

ดอกเบี้ยเงินกู้

​​​​ ดอกเบี้ยเงินกู้เป็นผลตอบแทนที่ผู้ให้กู้เรียกเก็บจากผู้ขอกู้

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มักอยู่ในลักษณะร้อยละต่อปี ซึ่งผู้ให้กู้ เช่น ธนาคาร หรือบริษัทเรียบเก็บจากผู้กู้เพื่อเป็นผลตอบแทนจากการให้กู้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีหลายประเภท หลายอัตรา โดยทั่วไปขึ้นอยู่กับประเภทของเงินกู้หรือสินเชื่อ ซึ่งในที่นี้ผู้ให้กู้หมายถึง สถาบันการเงิน และผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือ Non-bank

ลองมารู้จักกับดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทต่าง ๆ ที่พบบ่อย ๆ กัน

ดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่และแบบลอยตัว

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate)

หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เป็นตัวเลขเฉพาะ ไม่ขึ้นหรือลงตามต้นทุนของสถาบันการเงิน คงที่ตลอดอายุสัญญาเงินกู้หรือในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น กำหนดให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี เป็นเวลา 4 ปี

VS

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate)

หมายถึง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เปลี่ยนแปลงไปตามต้นทุนของสถาบันการเงิน ซึ่งสถาบันการเงินจะประกาศออกมาเป็นคราว ๆ ไป เช่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เช่น MLR MOR MRR

MLR MOR และ MRR คืออะไร

คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ใช้อ้างอิงในการเรียกเก็บดอกเบี้ยเงินกู้จากลูกค้า ซึ่งมีลักษณะเป็นดอกเบี้ยลอยตัว เช่น

1. MLR (Minimum Loan Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี เช่น มีประวัติการเงินที่ดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างเพียงพอ โดยส่วนใหญ่ใช้กับเงินกู้ระยะยาวที่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ
2. MOR (Minimum Overdraft Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทวงเงินเบิกเกินบัญชี
3. MRR (Minimum Retail Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย

ทั้งนี้ เราสามารถหาข้อมูลอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวที่ธนาคารพาณิชย์ใช้อยู่ได้จาก website ของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง และ website ของแบงก์ชาติ

ค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบระหว่างธนาคารอัตราดอกเบี้ยย้อนหลัง

ทั้งนี้ สถาบันการเงินอาจกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บสำหรับสินเชื่อประเภทต่าง ๆ โดยบวกอัตราเพิ่มหรือลดเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเหล่านี้ เช่น MLR +/- x%

อัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร 

(มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2564)

อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง

MLR (Minimum Loan Rate)  6.525 % ต่อปี

MOR (Minimum Overdraft Rate)  6.45 % ต่อปี

MRR (Minimum Retail Rate) 6.65% (ต่อปี)
 

คำถามถามบ่อย QA2.png

Question_Icon.png

ทำไมอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เช่น MLR ของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน​

answer_Icon2.png เพราะต้นทุนของธนาคารแต่ละแห่งไม่เท่ากัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก สภาพคล่อง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ธนาคารต้องดำรง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในแต่ละช่วงเวลา  นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติธนาคารก็มักจะใช้ MLR กับทั้งลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย​
Question_Icon.png

ทำไมอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมีบวกหรือลบต่อท้ายด้วย เช่น MLR + X% และทำไม X% ของลูกค้าแต่ละรายจึงไม่เท่ากัน

answer_Icon2.png หากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง เช่น ฐานะทางการเงินไม่ค่อยมั่นคง ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น (X%) จากอัตราอ้างอิง เพื่อชดเชยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละรายที่อาจแตกต่างกันไป หรือหากผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำ ธนาคารอาจคิดดอกเบี้ยที่ถูกกว่าอัตราอ้างอิงก็ได้ เช่น MLR + X% ซึ่ง X% ของลูกค้าแต่ละรายจึงไม่จำเป็นต้องเท่ากัน และยังขึ้นกับดุลพินิจ หลักเกณฑ์ และวิธีการพิจารณาสินเชื่อที่แตกต่างกันไปของธนาคารแต่ละแห่ง ดังนั้น เราควรสอบถามธนาคารที่เราสนใจหลาย ๆ แห่ง และนำมาพิจารณาเปรียบเทียบว่าธนาคารแห่งไหนมีเงื่อนไขที่ดีและเหมาะสมกับเรามากที่สุด​

​ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : www.1213.or.th 

NPL คืออะไร และมีผลต่อการปล่อยกู้จากธนาคารอย่างไร?

NPL คืออะไร

NPL มีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า Non-Performing Loan (NPL) หรือ หนี้เสีย ซึ่งหมายถึง หนี้ที่ไม่ได้รับการชำระคืนตามข้อกำหนดตกลงกันตามสัญญา ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้ทำการขอสินเชื่อเอาไว้ แล้วไม่ได้ชำระหนี้นานเกินจำนวนวันที่กำหนด โดยปกติแล้วกำหนดไว้ที่ 90 วัน
 

การเกิดหนี้ NPL มาจากไหน?

ลองมาดูว่าสาเหตุของ NPL คืออะไร โดยสาเหตุการเกิดของการเกิด NPL อาจจะส่งผลมาจากปัจจัยหลายอย่างนอกจากเงินรายได้ของผู้กู้ด้วย เช่น สภาพรวมของตลาดในประเทศที่ส่งผลต่อกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง และวินัยทางการเงินที่จะส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ที่จะบริหารจัดการจนสามารถปิดยอดหนี้ได้สำเร็จ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากคุณมี NPL หรือหนี้เสียคือ สถาบันทางการเงินที่คุณขอสินเชื่อก็จะทำรายงานข้อมูลว่าคุณมี NPL ไปที่ศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูลและประวัติการชำระสินเชื่อ หรือบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือที่รู้จักในชื่อ “เครดิตบูโร” ซึ่งจะทำการจัดเก็บข้อมูล NPL ที่ได้รับในระบบประมวลผลไม่เกิน 3 ปี และจะมีการอัปเดตข้อมูลใหม่เป็นรายเดือน ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะดำเนินการชำระ NPL หรือหนี้เสียเรียบร้อย ก็จะต้องรออัปเดตข้อมูลอีกครั้งด้วย
 

NPL คืออะไร ใช่เครดิตบูโรหรือไม่

คำว่าเครดิตบูโร ไม่ได้หมายถึง NPL หรือหนี้เสีย เพราะเครดิตบูโรเป็นคำเรียกศูนย์ข้อมูลเครดิต ที่เก็บประวัติการชำระหนี้ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นประวัติการชำระหนี้ทั้งดีและไม่ดี มีค่าเป็นคะแนนเครดิต (Credit Scoring) อยู่ในระดับไหน ดังนั้นถ้ามีประวัติชำระหนี้ดี ข้อมูลก็จะไปปรากฎบนเครดิตบูโรให้สถาบันทางการเงินที่คุณยื่นกู้พิจารณา ในขณะเดียวกันถ้าชำระหนี้ไม่ทันกำหนด 90 วัน เงินก้อนนั้นจะกลายเป็น NPL หรือหนี้เสีย ติดอยู่ในประวัติเครดิตบูโร
ข้อมูลเหล่านี้ หากลูกค้าไม่ยินยอมให้เปิดเผยข้อมูล สถาบันทางการเงินก็จะไม่สามารถส่งต่อข้อมูลไปยังบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติได้ ซึ่งข้อเสียคือทำให้คุณไม่มีเครดิตบูโรในส่วนนี้ และอาจจะทำให้สถาบันทางการเงินที่ยื่นกู้ ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของคุณไม่ถูก และคิดว่าคุณอาจจะมี NPL ได้
 

NPL มีผลต่อการปล่อยกู้จากธนาคารอย่างไร

ขึ้นชื่อว่าหนี้เสีย การมี NPL นี้ไม่ส่งผลดีแน่นอน เพราะ NPL คือหนี้ที่จะส่งผลระยะยาวในการขอยื่นกู้สินเชื่อในอนาคต เหมือนกับประวัติที่ทำให้สถาบันทางการเงินไม่แน่ใจในความสามารถในการชำระหนี้ของคุณ หากมีเหตุฉุกเฉิน ต้องการขอสินเชื่อครั้งต่อไป ก็จะมีโอกาสสูงมากที่จะไม่ได้รับการอนุมัติ
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสถาบันทางการเงินก็ต้องมีการประเมินความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อเช่นกัน เพราะส่งผลต่อต้นทุนของการตั้งเงินสำรองตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระบุไว้ว่าแต่ละที่จะต้องมีเงินสำรองที่ตั้งไว้ เผื่อเกิดกรณี NPL สถาบันทางการเงินก็ยังมีเงินจ่ายให้ลูกค้าทั่วไปได้
ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายชั้นดีที่สถาบันทางการเงินอยากปล่อยสินเชื่อให้ โดยไม่ต้องกังวลปัญหา NPL คือกลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมดี สามารถชำระหนี้ได้ตรงเวลาตามกำหนด ไม่มี NPL ก็อาจจะได้รับอนุมัติมากกว่า และอาจจะได้ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกกว่ากลุ่มที่อาจจะเคยผ่านการมีประวัติ NPL ได้
 

5 ขั้นตอน ทำอย่างไรให้รอดพ้นจากการมี NPL

1. ก่อนการยื่นกู้ สำรวจรายรับและรายจ่าย เพื่อทำแผนการชำระหนี้ไม่ให้เกิด NPL: การสำรวจรายรับรายจ่ายจะช่วยให้คุณเห็นแนวทางในการชำระหนี้มากขึ้น ทำให้ทราบว่าจะต้องหารายได้เพิ่มอีกเท่าไหร่ หรือลดรายจ่ายตรงไหน ลดโอกาสการเกิด NPL ได้
2. เมื่อกู้สำเร็จแล้ว ต้องชำระหนี้ตรงเวลา ครบจำนวน เพื่อไม่ให้เกิด NPL: ขั้นตอนนี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่ดีที่สุด หากรักษาวินัยในการชำระหนี้ของคุณไม่ให้เกิด NPL ได้ ก็จะเป็นการรักษาประวัติทีดี ช่วยเพิ่มโอกาสอนุมัติสินเชื่อมากยิ่งขึ้น
3. หากมีประวัติ NPL แล้ว ควรติดต่อเพื่อเจรจากับสถาบันทางการเงินที่ขอยื่นกู้ไว้โดยด่วน เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้: หากรู้ว่าคุณคงจะชำระหนี้ไม่ทันกำหนดจริง ๆ และอาจจะกลายเป็น NPL สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้คือการติดต่อกับสถาบันทางการเงินเจ้าของสินเชื่อโดยตรง เพื่อทำการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป หรือลดจำนวนดอกเบี้ยลงชั่วคราว แล้วแต่การตกลงของเจ้าหนี้ ซึ่งถ้าทำการปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะค้างชำระเกินกำหนด 90 วัน ก็จะทำให้ไม่เกิด NPL ให้เสียประวัติ
4. หากได้รับโอกาสแก้ไข NPL จงปฏิบัติตามเงื่อนไขการผ่อนชำระ NPL อย่างเคร่งครัด สร้างประวัติใหม่ที่ดี: เมื่อยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้ NPL แล้วได้รับเงื่อนไขในการชำระหนี้ใหม่ ควรจะปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นอย่างเคร่งครัด โดยจะต้องชำระหนี้ให้ตรงเวลาอย่างน้อย 12 เดือนขึ้นไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณมุ่งมั่นตั้งใจ และมีสถานะทางการเงินที่พร้อมจะรับผิดชอบหนี้ก้อนใหม่แล้ว
5. เคลียร์ NPL ให้จบ: ถึงแม้การแก้ไข NPL อาจจะใช้เวลานาน แต่ข้อดีของการปิดหนี้ก้อนนี้ได้ นอกจากจะช่วยให้คุณหมดหนี้ที่ค้างคาไว้ ยังเป็นการปรับประวัติใหม่ แสดงให้เห็นว่าคุณมีความสามารถและมีวินัยในการชำระหนี้จริง
 
การมีหนี้เสีย หรือ NPL ถึงแม้จะดูเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลต่อการอนุมัติเงินกู้เพื่อซื้อบ้านและคอนโดในฝันของคุณ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ปัญหาเสมอไป เพียงแค่คุณสำรวจรายรับรายจ่าย วางแผนการชำระหนี้อย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิด NPL ด้วยการจ่ายหนี้ให้ครบและตรงเวลา หรือหากคาดการณ์ว่าจะประสบปัญหาจ่ายหนี้ไม่ทัน ก็ยังมีทางแก้ไข ด้วยการติดต่อกับสถาบันการเงินเจ้าของหนี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่มันจะกลายเป็นหนี้เสียนั่นเอง
 
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก : www.ddproperty.com